วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

สรุป : ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ facebook


Facebook เป็น เครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารและร่วมทำกิจกรรมใดกิจกรรม หนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้ Facebook คนอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ, โพสต์รูปภาพ , โพสต์คลิปวิดีโอ, เขียนบทความหรือบล็อก, แชทคุยกันแบบสดๆ , เล่นเกมส์แบบเป็นกลุ่ม (เก็บผักนั่นหล่ะครับ) และยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ผ่านแอพลิเคชั่นเสริม ที่มีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งแอพลิเคชั่นดังกล่าวได้ถูกพัฒนาเข้ามาเพิ่ม เติมอยู่เรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าเลือกใช้กันทั้งปีก็ไม่หมดครับ ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ Facebook ยังเปิดโอกาสให้เราได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนซี้ เพื่อนเก่า เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน และไม่นานนักเราก็จะได้พบกับเพื่อนใหม่ที่ถูกใจจริงๆ ครับ

Facebook นั้นเป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจและเข้าถึงประวัติส่วนตัวทั่วไปต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น
แน่นอนว่าเฟสบุ๊คได้รับความนิยมถล่มทลายกับนักศึกษาราว 2ใน3 เมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้เพราะด้วยจำนวนสมาชิกหลายล้านคนทำให้บริษัทหลายแห่งสนใจในตัว facebook แม้จะมีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ค่อยดีสำหรับ facebook ที่ได้มีการโต้เถียงกันอย่างหนัก กับ Social Network ที่ชื่อ ConnectU โดยผู้ก่อตั้ง ConnectU ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ฮาเวิร์ด ได้กล่าวหาว่ามาร์คได้ขโมยตัว source code สำหรับ facebook ไปจากตน โดยกรณีนี้ได้มีเรื่องมีราวไปถึงชั้นศาล และตอนนี้ได้แก้ไขข้อพิพาทกันไปเรียบร้อยแล้วและถึงแม้จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นการเติบโตของ facebook ก็ยังคงขับเคลื่อนต่อไป
ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุกวันนี้ CEOหนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่ายๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด
ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง Facebook ใหม่ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียวกับเก้าอี้สองตัว ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐีก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน!!
เห็นไหมว่าคนรวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่มโดยไม่โกงใคร ใช้เวลาสร้างตัวด้วยสมองเพียง 6 ปี เท่านั้นก็ยังมี แถมยังใช้ชีวิตสมถะเช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆอยู่ และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันในทุกวันนี้

สรุป : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ facebook


มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก มีเชื้อสาย ยิว - อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2527 เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลายที่ Phillips Exeter Academy ในปี 2545
สมัยเรียนไฮสคูล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ ชั้น ป.6 เขากับเพื่อนสร้าง โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต
ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจคนี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ โปรเจคต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยม แต่เมื่อโปรเจคนี้ให้บริการจริงเพียง 4 ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจคนี้ละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

ซัคเกอร์เบิร์กสร้างบริการ Facebook ด้วยฤกษ์วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network  ที่เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น เมื่อมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้าง มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook
ไอเดียเริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อๆกันไปให้นักเรียนคนอื่นๆได้รู้จักเพื่อนๆในชั้นเรียน ซึ่ง facebook นี้จริงๆแล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่งมาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้น facebook เพียงแค่ 1.6 % เมื่อปลายปี 2550 ตั้งแต่ facebook ให้บริการมาได้แค่ 3 ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง 50 ล้านคน
นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือตกลงขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย "ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาด Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว

ประโยชน์และโทษของ facebook

เสพ Facebook มีประโยชน์ ก็มีโทษเหมือนกันนะ
Facebook ก็มีทั้งประโยชน์และโทษในตัวของมันเอง ลองมาดูเรื่องของประโยชน์กันก่อนดีกว่า เราสามารถใช้เว็บเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อความต่างๆทั้งภาพถ่ายและวิดีโอ หรือเอาไว้โชว์ผลงานอวดความเก๋า ความเก่งเและเจ๋ง ทั้งของตัวเอง เพื่อนพ้องน้องพี่ แฟนคลับดารา หรือขององค์กรเพื่อส่งออกไปยังคนกลุ่มหนึ่งโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาด บางคนก็เรียกเป็นกลยุทธ์ปากต่อปาก หรือ Viral Marketing แค่โพสต์ข้อความลงไปในหน้า page เพื่อนของเราหรือใครๆที่อยู่ใน Contacts List ก็จะได้รับข้อมูลเหล่านั้น และถ้าเนื้อหาต่างๆมีความน่าสนใจ มันก็จะถูกส่งต่อออกไปเรื่อยๆ ใครจะไปรู้ว่าข้อความของเราอาจส่งไปไกลถึงอีกฝั่งนึงของโลกก็ได้นะ
มาพูดถึงโทษกันบ้าง การที่เราติดมันมากเกินไปก็ทำให้เสียอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลาส่วนตัวในชีวิตจริง ที่ต้องเสียไปโดยไม่มีประโยชน์อะไรเพราะว่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่ในโลกออนไลน์ เสียสุขภาพหากเรานั่งเล่นอยู่หน้าจอคอมนานๆ เสียงานหากติดซะจนเล่นไม่ เป็นเวลา ส่วนปัญหาทางสังคมอย่างบรรดาดาราที่ตกเป็นข่าวว่า Facebook ที่พวกคุณcommentกันอยู่ไม่ใช่ตัวจริง ขนาดดาราตัวจริงไปcomment แก้ข่าวยังโดนตอกกลับมาจากแฟนคลับว่าหล่อนน่ะตัวปลอม คิดไปก็น่าสงสารอยู่ดีๆก็มีตัวปลอมขึ้นมาอีกคน ตัวจริงอย่างฉันต้องมานั่งรบกับตัวเองเหนื่อยนะเนี่ย ฉันน่ะตัวจริงนะเชื่อกันบ้าง! นี่ก็เป็นปัญหาหนักอกหนักใจถึงขนาดต้องออกมาประกาศตัวกันเลยทีเดียว หลอนดีพิลึก เทคโนโลยียังเป็นดาบสองคม ที่เหล่าบรรดามิจฉาชีพอาจแฝงตัวเข้ามาหาเราโดยไม่รู้ตัว เริ่มจากตีซี้ ทำาความสนิทสนมจนเราตายใจ ที่เรียกง่ายๆว่าแอ๊บมาเป็นเพื่อนเราแล้วก็ทำาการนัดเจอกัน บางคนอาจเสียตัว หรือเสียทรัพย์ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เหตุการณ์ต่างๆมักเกิดขึ้นได้บ่อยๆตามหน้าหนังสือพิมพ์ ดังนั้นเราควรรู้เท่าทันเทคโนโลยีและสิ่งยั่วยุต่างๆ ควรไตร่ตรองก่อนที่จะหลงเชื่อคำพูด 


อยากรู้ว่าติด facebook ไหมนะ??


อยากรู้ว่าติด Facebook ไหม
เปิด Facebook ทุก 5 นาที เหมือนคอยระแวดระวังภัย ใครจ้องจะมาทำาร้ายร่างกายอยู่ตลอด เผลอเป็นต้องเปิด Facebook ว่ามีใครอัพเดทอะไรบ้าง รายงานแม้กระทั่งแมวหรือสุนัขที่บ้านอึออกแล้ว แม่เจ้า! ทำไปได้
มองเวลาบ่อยๆ อาจเป็นผลพวงมาจากการเล่นเกม คอยหลอกหลอน อุ้ย! ได้เวลาทำากับข้าวแล้ว เอ๊ะ!! ผักเหี่ยวยังหว่า ว๊าย!!! ลืมเก็บผัก ตายละทำไงดี (อันนี้ออกแนววิตกจริตซะมากกว่า)
มีเวลาให้เพื่อนน้อยลง พูดจริงๆไม่ได้พูดเล่นนะ บางคนถึงขนาดตัดเพื่อน ฉันไม่ไปไหนอ่ะ เดี๋ยวไม่มีใครทำครัวตั้งเตาไว้ (แหม!! หล่อนเวอร์ไปมั้ยยะ)
ลืมไปว่าตัวเองมีชีวิตนอกจอ อินมันทุกขณะจิต หายใจเข้าก็ Facebook หายใจออกก็เกม ติดจนลืมไปว่าตัวเองต้องทำาอะไรในชีวิตจริง แหมทีใน Facebook ขยันจิ๊งหาเงินเนี่ย! เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ทำาฟาร์ม โอ่ย รวยตาย!
เถียงกับเพื่อนผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม จ้องคอยจะจับผิดบางคนชอบจังเลย เถียงกันใน page เดี๋ยวคนนี้แซวคนนั้น เดี๋ยวคนนั้นแซวคนนี้ เอ๊ะถ้ายกหูโทรศัพท์กริ้งเดียวก็จบแล้ว 555

การพัฒนาซอฟแวร์ของ facebook


การพัฒนาซอฟต์แวร์

ซักเคอร์เบิร์ก ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการเขียนซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กในชั้นประถมปลาย พ่อเขาสอนให้ใช้โปรแกรมพื้นฐานของอาตาริในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 และต่อมายังจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ชื่อ เดวิด นิวแมน มาสอนเป็นการส่วนตัว นิวแมนเรียกเขาว่า "เด็กอัจฉริยะ" และกล่าวต่อว่า "ยากที่จะล้ำหน้าเกินเขา" ซักเกอร์เบิร์กยังเรียนคอร์สที่วิทยาลัยเมอร์ซี ใกล้กับบ้านของเขาขณะที่เรียนระดับไฮสคูลอยู่ เขามีความสนุกกับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องมือด้านการสื่อสารและเกม ตัวอย่างเช่น มีโปรแกรมหนึ่ง ซึ่งพ่อของเขาที่เป็นทันตแพทย์ เขาสร้างโปรแกรมที่ชื่อ "ซักเน็ต" ที่จะให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารได้ระหว่างบ้านกับสำนักงานทันตแพทย์ โดยใช้ระบบปิงหากัน ถือว่าเป็นเมสเซนเจอร์รุ่นดึกดำบรรพ์ของเอโอแอล ซึ่งออกมาภายหลัง
ในช่วงระหว่างเรียนไฮสคูล ภายใต้การทำงานกับบริษัท อินเทลลิเจนต์มีเดียกรุ๊ป เขาได้สร้างโปรแกรมเล่นดนตรีที่เรียกว่า ไซแนปส์มีเดียเพลเยอร์ (Synapse Media Player) ใช้ปัญญาประดิษฐ์เรียนรู้พฤติกรรมการฟังเพลงของผู้ใช้ โดยได้โพสต์ลงที่ สแลชด็อต ได้รับคะแนน 3 เต็ม 5 จาก พีซีแม็กกาซีน ไมโครซอฟท์และเอโอแอลพยายามจะซื้อไซแนมป์และรับซักเคอร์เบิร์กเข้าทำงาน แต่เขาเลือกที่จะสมัครเรียนที่ฮาวาร์ดในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002

ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่ฮาวาร์ด เขามีกิตติศัพท์ด้านความอัจฉริยะในการเขียนโปรแกรมแล้ว เขาศึกษาด้าน วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และจิตวิทยา และเป็นสมาชิก อัลฟาเอปซิลอนไพ สมาคมยิวในมหาวิทยาลัย พอเรียนชั้นปีที่ 2 เขาสร้างโปรแกรมจากห้องพักของเขาที่ชื่อ "คอร์สแมตช์" ที่ให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเรื่องการเลือกเรียนวิชา จากการตัดสินใจของนักเรียนคนอื่น และยังช่วยให้พวกเขาร่วมก่อกลุ่มการเรียน ต่อจากนั้นไม่นาน เขาสร้างโปรแกรมที่แตกต่างกันไปเรียนว่า "เฟซแมช" ที่ให้ผู้ใช้เลือกหน้าผู้ใช้ที่หน้าตาดีที่สุดในบรรดารูปที่ให้มา เพื่อนร่วมห้องของเขาเวลานั้นที่ชื่อ อารี ฮาซิต กล่าวว่า "เขาสร้างเว็บไซต์นี้เพื่อความสนุก"

"เรามีหนังสือ ที่เรียกว่า เฟซบุ๊กส์ ที่รวบรวมรายชื่อและภาพของทุกคนที่อยู่ในหอพัก ในตอนแรกเขาสร้างเว็บไซต์ที่ วางรูป 2 รูป หรือรูปของผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน ผู้เยี่ยมเยือนเว็บไซต์จะเลือกว่า ใครร้อนแรกกว่ากัน และรวบรวมจัดอันดับเป็นผลโหวต"

เว็บไซต์เปิดในช่วงวันหยุด แต่พอถึงเช้าวันจันทร์ เว็บไซต์ก็ถูกปิดโดยมหาวิทยาลัย เว็บไซต์ได้รับความนิยมในช่วงเวลาอันสั้น จนทำให้เซิร์ฟเวอร์ของฮาวาร์ดล่ม นักศึกษาจะถูกห้ามใช้เข้าเว็บไซต์ นอกจากนั้นมีนักศึกษาหลายคนร้องเรียนเรื่องภาพที่ใช้ไม่ได้รับอนุญาต เขาออกขอโทษต่อสาธารณะ หนังสือพิมพ์นักเรียนจะพาดหัวเกี่ยวกับเว็บไซต์ของเขาว่า "ไม่เหมาะสม"
อย่างไรก็ตาม นักเรียนก็ได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยพัฒนาเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูล รายชื่อ รวมถึงรูป ในส่วนหนึ่งของเครือข่ายมหาวิทยาลัย ฮาซิตเพื่อนร่วมห้องเขากล่าวว่า "มาร์กได้ยินคำร้องเหล่านี้และตัดสินใจว่า ถ้ามหาวิทยาลัยจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม เขาก็จะสร้างเว็บไซต์ที่ดีกว่าที่มหาวิทยาลัยจะทำ"

ชีวิตส่วนตัวของ Mark Zuckerberg


ชีวิตส่วนตัวของ Mark Zuckerberg
ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุกวันนี้ CEOหนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่ายๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด
ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง Facebook ใหม่ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียวกับเก้าอี้สองตัว ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐีก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน!!
เห็นไหมว่าคนรวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่มโดยไม่โกงใคร ใช้เวลาสร้างตัวด้วยสมองเพียง 6 ปี เท่านั้นก็ยังมี แถมยังใช้ชีวิตสมถะเช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆอยู่ และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันในทุกวันนี้
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเกิดที่ ไวต์เพลนส์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาเติบโตที่เมืองด็อบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก โดยบิดาเป็นทันตแพทย์คือ เอ็ดเวิร์ด ซักเคอร์เบิร์ก และมารดาจิตแพทย์คือ คาเรน ซักเคอร์เบิร์ก เขามีพี่น้องสี่คน ในวัยเด็กซักเคอร์เบิร์กถูกเลี้ยงดูอย่างชาวยิว ถึงแม้เขาอธิบายว่าเขาเป็นอเทวนิยม
ที่โรงเรียนอาร์ดสลีย์ไฮสคูล เขาได้มีความสามารถด้านการศึกษาคลาสสิก ก่อนที่เขาจะย้ายไปเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ที่นี่ซักเคอร์เบิร์กได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์ (คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์) และศึกษาด้านศิลปะคลาสสิค เขายังเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเขาสามารถอ่าน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาฮิบรู ภาษาละติน และภาษากรีกโบราณ เขายังเป็นกัปตันทีมฟันดาบ
ในงานสังสรรค์ในช่วงชั้นปีที่ 2 ซักเคอร์เบิร์กพบกับพริสซิลลา ชาน ที่ต่อมาเป็นเพื่อนหญิงของเขา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 ชานซึ่งศึกษาแพทย์ ได้ย้ายมาอยู่บ้านเช่าของซักเคอร์เบิร์กในแพโลอัลโต ซักเคอร์เบิร์กสามารถมองเห็นสีฟ้าได้ดีที่สุด เพราะเขาเป็นโรคตาบอดสีซึ่งมองสีแดงและสีเขียวได้ไม่ชัดเจน นอกจากนี้สีฟ้ายังเป็นสีหลักในเว็บไซด์facebookอีกด้วย

ลักษณะการทำงานและประวัติการขายหุ้นของ facebook

ลักษณะการทำงานของ Facebook
มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกันมา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้ บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้ แต่ Facebook มีมากกว่านั้น ความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกันในการลงทะเบียนและมีความต้องการที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลกใบนี้
นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอดเยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ "เด็กดี" ขณะที่ My space เหมาะสำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน ความร้อนแรงและความหอมหวานของ Facebook และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ CEO หนุ่มไฟแรงแห่ง Facebook
ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัทออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่าสูงลิ่วถึง $ 1.6 พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยากได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม 2.6 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า และ จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ Youtube มาด้วยราคา $ 1.65 พันล้าน

บิลล์ เกตส์ ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์ เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้น facebook เพียงแค่ 1.6 % เมื่อปลายปี 2550 ตั้งแต่ facebook ให้บริการมาได้แค่ 3 ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง 50 ล้านคน ขณะนั้น รายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงินเพียง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน ช่วงเวลานั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิดถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั๊กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทางถูกว่า เงินแค่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ นั่นคือการแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง
ขายหุ้นให้กับ DST สัญชาติรัสเซีย
นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือตกลงขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย "ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาด Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว
ดีลประวัติศาสตร์นี้ ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกเปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ 1.96 % ของหุ้น Facebook ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ดบริหารและไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ Facebook ตลอดมา
ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์